รายงานผลโดยแพทย์เกี่ยวกับโรคเพโรนีย์ (IPP)

แพทย์ผู้หนึ่งได้รายงานผลการบำบัดคนไข้โรคเพโรนีย์ (IPP) ผู้หนึ่งซึ่งไม่ต้องการผ่าตัด ในกรณีของเขาอวัยวะเพศโค้งงอไปทางซ้ายอย่างมากเกือบถึง 90 องศา การมีเพศสัมพันธุ์จึงเป็นไปไม่ได้

แพทย์จึงตัดสินใจลองใช้ PHALLOSAN forte ในการบำบัดอวัยวะเพศชายโค้งงอของเขา หลังจากการใช้เพียง 3 เดือนสามารถดึงอวัยวะเพศที่โค้งงอกลับไปในอีกทิศทางหนึ่งได้ ทำให้การโค้งงอนั้นลดลง (มุมที่โค้ง 60 องศา) และหลังจากการใช้เพียง 6 เดือนสามารถดึงอวัยวะเพศกลับลงได้อีก(มุมที่โค้ง 30 องศา) ช่วยให้คนไข้หายทรมานจากความเจ็บปวดและสามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้ และรายงานผลโดยแพทย์เกี่ยวกับการทดลองนี้ได้บันทึกพร้อมรูปภาพที่แสดงถึงพัฒนาการ ขั้นตอนในการบำบัด แพทย์ผู้นี้ประสงค์จะนำเสนอรายงานผลโดยลงในวารสารการแพทย์ต่อไป

เราทราบดีว่าการใช้ PHALLOSAN forte ในการบำบัดโรคนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ (Plaques) นี้ได้ แต่ในกรณีคนไข้ที่ได้รายงานข้านบน เราสามารถยืนยันได้ว่า การใช้แรงดึงอวัยวะเพศชายโค้งงออย่างสม่ำเสมอในทิศทางตรงข้ามกับการโค้งงอของอวัยวะเพศ แต่เดิม และสามารถดึงอวัยวะเพศที่โค้งงอกลับไปในอีกทิศทางหนึ่งได้หลังจากเพียงไม่กี่เดือน หรืออย่างน้อยแก้ปัญหารุนแรงได้และช่วยให้อาการดีขึ้น เราตระหนักดีว่าไม่มีผลการศึกษาระยะยาวประกอบรายงานนี้ว่าได้ทำให้เนื้อเยื่อดีขึ้นหรือไม่

เป็นไปได้ว่าในกรณีที่การป่วยเรื้อรังอาจจำเป็นต้องทำการบำบัดเป็นช่วงๆสั้น เป็นการบำบัดที่ถือว่ารักษาสถานภาพไว้ ถึงกระนั้นผลการศึกษาในรายๆที่ปรากฏก็ยังสนับสนุนการใช้งาน PHALLOSAN forte ซึ่งแนะได้ว่าน่าจะใช้มากว่าการผ่าตัด และยังสามารถใช้ร่วม หรือประกอบกับวิธีการอื่นๆและจะช่วยสนับสนุนประโยชน์มากกว่ามีผลร้าย

การนำเสนอ PHALLOSAN forte ในการการรักษาโรคเพโรนีย์ (IPP) ในแบบไม่รุนแรง (non-invasive)

อวัยวะเพศชายโค้งงอซึ่งเกิดขึ้นทีหลัง

การที่อวัยวะเพศชายโค้งงอซึ่งเกิดขึ้นทีหลัง เรียกว่า Induratio Penis Plastica (โรคเพโรนีย์ ย่อว่า IPP) ในบางรายอาจค่อยๆเกิดช้าๆ หรือในบางรายเกิดขึ้นโดยทันทีทันใด เมื่อเกิดโรคร้ายนี้ขึ้นจะมีความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออวัยวะเพศชายแข็งตัว ในบางรายอวัยวะเพศจะโค้งงอชี้ขึ้นข้างบน และในบางรายอาจมีรูปร่างคล้ายนาฬิกาทรายคือคอดตรงกลางได้ โรคเพโรนีย์พบในผู้ชายราวร้อยละ 3 - 5 พบบ่อยในคนที่เป็นโรคเบาหวาน การโค้งงออาจรุนแรงจนเกิดปัญหาคือเกิดเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธุ์ซึ่งอาจทำให้มีไม่ได้เลย การเจ็บป่วยเช่นนี้จึงมีผลต่อผู้ชายทั้งตัว เพราะมีผลต่อคุณภาพของชีวิตที่เสียไป เพศสัมพันธุ์ รวมทั้งชีวิตคู่ [1]

การรักษาโรคเพโรนีย์ (IPP) ในปัจจุบันยังไม่ช่วยให้เกิดผลที่คนไข้หวังและต้องการ ระยะหลังนี้ได้มีการพัฒนาด้านการผ่าตัดหลายวิธี ในรายงานคลีนิคศึกษาว่า คนไข้ 130 รายได้รับการบำบัดด้วยระบบอุลตราซาวน์ (21 ราย) การฉีด เวราพามิล (73 ราย) การบำบัดด้วยระบบอุลตราซาวน์ร่วมกับการฉีดเวราพามิล (36 ราย) [2] พบว่า การบำบัดด้วยระบบอุลตราซาวน์สามารถทำให้เนื้อเยื่อ Plaque ลดลงใน 11 จาก 21 ราย ถึงแม่ว่าผู้รายงานจะแนะนำการบำบัดด้วยระบบอุลตราซาวน์ร่วมกับการฉีดเวราพามิล แต่ผลที่แสดงไม่อาจสนับสนุนได้ ในการการบำบัดด้วยการฉีด เบต้าเมทาโซน (Betamethasone) หรือด้วยพลาซิโบปรากฏผลดีโดยที่ Plaques จากวิธีการแก้ไขนี้ลดลง ร้อยละ 40 [3] ผลนี้จึงแสดงได้เพียงแต่ว่าผลจากการฉีดสารใดๆสามารถทำให้เนื้อเยื่อ Plaque ลดลงใน และผลจาการวิจัยทั้งหลายจึงสนับสนุนการใช้เครื่องมือที่ไม่รุนแรงเพื่อการบำบัดดังในกรณีที่ขอนำมาเป็นตัวอย่างแสดงดังนี้

อาการ

คนไข้ชาย 61ปี ได้รับการรักษาโรคเพโรนีย์ (IPP)มาตั้งแต่ปลายปี 1999 แต่ไม่สามารถบำบัด โรคได้ และคนไข้ยังเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบมีเลือดออกในปัสสาวะเล็กน้อยเสมอๆ ต้องมารับการดูแลทางอายุรกรรม ในสายตาของอายุรเวชโรคลำไส้ใหญ่อักเสบหายแล้ว และระบบไตปกติ และคนไข้ไม่ต้องการได้รับการรักษาโรคเพโรนีย์ (IPP) ด้วยการผ่าตัด เขาได้รับคำแนะนำการใช้เครื่องมือที่ไม่รุนแรงเพื่อการบำบัด ซึ่งได้มีรายงานความสำเร็จ คนไข้เห็นชอบกับการที่จะนำเอาในกรณีที่ขอนำมาเป็นตัวอย่างโดยให้คำยินยอมเป็นลายลักษณ์ อักษรแสดงดังนี้

คนไข้ได้รับคำแนะนำ และรับถุงยางที่มีรูประฆังซึ่งใช้เป็นเวลานาน (PHALLOSAN forte) หลักการของถุงยางที่มีรูประฆังซึ่งใช้เป็นเวลานานคือการใช้วิธียืดอวัยวะเพศชายอย่างนุ่มนวลแต่คงที่สม่ำเสมอ (ภาพประกอบ 1) และระบบให้ปรับทิศทางอยู่ทางด้านข้างสองด้านทำให้ปรับ ทิศทางของการดึงได้ (ภาพประกอบ 2) คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ และมีหนังสือประกอบของผู้ผลิต ในที่นี้ได้มีคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้รับถุงยาง ที่มีรูประฆังซึ่งใช้เป็นเวลานานและคำแนะนำในการทำความสะอาดด้วย

คนไข้ได้รับคำแนะนำ และใช้ถุงยางที่มีรูประฆังซึ่งโดยเริ่มต้นวันละ 4 - 5 ชม. ทุกวันโดยที่ใช้ เขาจะปรับทิศทางของแรงดูดให้ตรงข้ามกับทิศทางการที่โค้งงอของอวัยวะเพศชายดังแสดงในภาพ ประกอบ 3เอ (ไม่ได้นำมาแสดงในที่นี้) ซึ่งอวัยวะเพศชายโค้งงออย่างมาก ในช่วงเวลานี้คนไข้ไม่สามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้เลย ภายหลังจากการใช้เครื่องมือได้ 14 อาทิตย์ โดยเฉลี่ยเขาใช้ PHALLOSAN forte วันละ 4 - 5 ชม. (2,5-7) สามารถเห็นผลการทำให้อวัยวะเพศตรงขึ้น และ และในช่วงเวลานี้คนไข้สามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้ 3บี (ไม่ได้นำมาแสดงในที่นี้) หลังจากการใช้เครื่องมือได้ 6 เดือน สามารถเห็นผลการทำให้อวัยวะเพศตรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน 3ซี (ไม่ได้นำมาแสดงในที่นี้) คนไข้มีความพึงพอใจกับผลการใช้งาน และคนไข้สามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้เขาตัดสินใจไม่ผ่าตัดโดยเด็ดขาด หลักการของถุงยางที่มีรูประฆังซึ่งใช้เป็นเวลานานได้ ไม่มีความเสี่ยงและผลข้างเคียง ในส่วนน้อยที่เกิดอาการแดงที่ปลายองคชาต แต่เมื่อพักการใช้เพียงหนึ่งวันอาการก็จะหายไป และแม้คนไข้บางรายจะใช้อุปกรณ์เพียงทุกๆสองวัน วันละ 3-4 ชม. ก็สามารถประสบผลสำเร็จได้และได้ผลถาวรมาถึงทุกวันนี้ ( 2 ปี หลังจากเริ่มต้นการรักษา

สรุป และ แนวทาง
การใช้ถุงยางที่มีรูประฆังเป็นเวลานาน (PHALLOSAN forte) นับเป็นการใช้เครื่องมือที่ไม่รุนแรงเพื่อการบำบัดโรคเพโรนีย์ (IPP) โดยการยืดอวัยวะเพศชายอย่างสม่ำเสมอทุกๆวันวันละหลายๆชม. ปรับทิศทางของแรงดูดให้ตรงข้ามกับทิศทางการที่โค้งงอของอวัยวะเพศชายทำให้อวัยวะเพศชาย ตรงขึ้นได้ และในช่วงเวลานี้คนไข้สามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้ จึงควรจะมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ผลในระยะยาว และจำนวนคนไข้มากขึ้นเพื่อจะรู้ได้ว่าการ ใช้ถุงยางที่มีรูประฆังซึ่งใช้เป็นเวลานานสามารถแก้ปัญหาการหมดสมรรถภาพในรูปแบบอื่นๆได หรือไม่ และกรณีการบำบัดประกอบการเป็นอัมพาตครึ่งตัวก็น่าสนใจเช่นกัน

เอกสารอ้างอิง
1. Bichler KH, Lahme S, Mattauch W, Petri E: Collagen metabolism in induratio penis plastica (IPP). Urologist A. 1998; 37: 306-11

2. Mirone V, Imbimbo C, Palmieri A, Fuso F: Our experience on the association of a new physical and medical therapy in patients suffering from induratio penis plastica. Eur Urol. 1999; 36: 327-30

3. Cipollone G, Nicolai M, Mastroprimiano G, Iantoro R, Longeri D, Tenaglia R: Betamethasone versus placebo in Peyronie's disease. Arch Ital Urol Androl. 1998; 70:165-8

ผู้เขียน:
ผู้เขียนบทความเราได้สอบถามเพื่อขออนุมัติในการเผยแพร่

Use of Penile Extender Device in the Treatment of Penile Curvature as a Result of Peyronie's Disease. Results of a Phase II Prospective Study - Abstract

Pilot experiences have suggested that tension forces exerted by a penile extender may reduce penile curvature as a result of Peyronie's disease.

To test this hypothesis in a Phase II study using a commonly marketed brand of penile extender. Methods. Peyronie's disease patients with a curvature not exceeding 50 degrees with mild or no erectile dysfunction (ED) were eligible. Fifteen patients were required to test the efficacy of the device assuming an effect size of >0.8, consistent with an "important" reduction in penile curvature. Changes in penile length over baseline and erectile function (EF) domain scores of the International Index of Erectile Function (IIEF) constituted secondary end points.

Patients were counselled on the use of the penile extender for at least 5 hours per day for 6 months. Photographic pictures of the erect penis and measurements were carried out at baseline, at 1, 3, 6, and 12 months (end of study). The IIEF-EF domain scores were administered at baseline and at the end of study. Treatment satisfaction was assessed at end of study using a nonvalidated institutional 5-item questionnaire.

Penile curvature decreased from an average of 31 degrees to 27 degrees at 6 months without reaching the effect size (P = 0.056). Mean stretched and flaccid penile length increased by 1.3 and 0.83 cm, respectively at 6 months. Results were maintained at 12 months. Overall treatment results were subjectively scored as acceptable in spite of curvature improvements, which varied from "no change" to "mild improvement."

In our study, the use of a penile extender device provided only minimal improvements in penile curvature but a reasonable level of patient satisfaction, probably attributable to increased penile length. The selection of patients with a stabilized disease, a penile curvature not exceeding 50 degrees , and no severe ED may have led to outcomes underestimating the potential efficacy of the treatment.

Written by:
Gontero P, Di Marco M, Giubilei G, Bartoletti R, Pappagallo G, Tizzani A, Mondaini N

PubMed Abstract
PMID:19138361